วันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

วันอาสฬหบูชา ธัมจักรกัปปวัตนสูตร

เทวเม ภิกขะเว อันตา 
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ที่สุดแห่งการกระทำสองอย่างนี้มีอยู่ 
ปัพพะชิเตนะ นะ เสวิตัพพา 
เป็นสิ่งที่บรรพชิตไม่ควรข้องแวะเลย 
โย จายัง กาเมสุ กามะสุขัลลิกานุโยโค 
นี้คือการประกอบตนพัวพันอยู่ด้วยความใคร่ในกามทั้งหลาย 
หีโน 
เป็นของต่ำทราม 
คัมโม 
เป็นของชาวบ้าน 
โปถุชชะนิโก 
เป็นของปุถุชน 
อะนะริโย 
ไม่ใช่ข้อปฏิบัติของพระอริยเจ้า 
อะนัตถะสัญหิโต 
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์เลย นี้อย่างหนึ่ง 
โย จายัง อัตตะกิละมะถานุโยโค 
อีกอย่างหนึ่งคือการประกอบการทรมานตนให้ลำบาก 
ทุกโข 
เป็นสิ่งนำมาซึ่งทุกข์ 
อะนะริโย 
ไม่ใช่ข้อปฏิบัติของพระอริยเจ้า 
อะนัตถะสัญหิโต 
ไม่ประกอบด้วยประโยชน์เลย 
เอเต เต ภิขะเว อุโภ อันเต อะนุปะคัมมะ มัชฌิมา ปะฏิปะทา 
ดูกรภิกษุทั้งหลายข้อปฏิบัติทางสายกลาง 
ไม่เข้าไปหาที่สุดแห่งการกระทำทั้งสองอย่างนั้นมีอยู่ 
ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา 
เป็นข้อปฏิบัติที่ตถาคตได้ตรัสรู้เฉพาะแล้ว 
จักขุกะระณี 
เป็นเครื่องกระทำให้เกิดจักษุ 
ญาณะกะระณี 
เป็นเครื่องกระทำให้เกิดญาณ 
อุปะสะมายะ 
เพื่อความสงบ 
อะภิญญายะ 
เพื่อความรู้ยิ่ง 
สัมโพธายะ 
เพื่อความรู้พร้อม 
นิพพานายะ สังวัตตะติ 
เป็นไปเพื่อนิพพาน 
กะตะมา จะ สา ภิขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา 
ดูกรภิกษุทั้งหลายข้อปฏิบัติเป็นทางสายกลางนั้นเป็นอย่างไร 
อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค 
ข้อปฏิบัติเป็นทางสายกลางนั้น คือข้อปฏิบัติเป็นหนทางอันประเสริฐประกอบด้วยองค์แปดประการ 
เสยยะถีทัง 
ได้แก่สิ่งเหล่านี้ 
สัมมาทิฎฐิ 
ความแห็นชอบ 
สัมมาสังกัปโป 
ความดำริชอบ 
สัมมาวาจา 
พูดจาชอบ 
สัมมากัมมันโต 
ทำงานชอบ 
สัมมาอาชีโว 
เลี้ยงชีพชอบ 
สัมมาวายาโม 
พากเพียรชอบ 
สัมมาสติ 
ระลึกชอบ 
สมาสมาธิ 
ตั้งใจชอบ 
อะยัง โข สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลคือข้อปฏิบัติเป็นทางสายกลาง 
ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา 
เป็นข้อปฏิบัติที่ตถาคตได้ตรัสรู้เฉพาะแล้ว 
จักขุกะระณี 
เป็นเครื่องกระทำให้เกิดจักษุ 
ญาณะกะระณี 
เป็นเครื่องกระทำให้เกิดญาณ 
อุปะสะมายะ 
เพื่อความสงบ 
อะภิญญายะ 
เพื่อความรู้ยิ่ง 
สัมโพธายะ 
เพื่อความรู้พร้อม 
นิพพานายะ สังวัตตะติ 
เป็นไปเพื่อนิพพาน 
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสัจ คือ ทุกข์ นี้มีอยู่ 
ชาติปิ ทุกขา 
คือความเกิดเป็นทุกข์ 
ชะราปิ ทุกขา 
ความแก่เป็นทุกข์ 
มะระณัมปิ ทุกขัง 
ความตายเป็นทุกข์ 
โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสปิ ทุกขา 
ความโศกเศร้า ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์ 
อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข 
ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจเป็นทุกข์ 
ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข 
ความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักที่พอใจเป็นทุกข์ 
ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง 
ปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้นเป็นทุกข์ 
สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา 
กล่าวโดยย่อ อุปาทานขันธ์ 5 เป็นทุกข์ 
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อริยสัจคือเหตุให้เกิดทุกข์ มีอยู่ 
ยายัง ตัณหา 
นี้คือ ตัณหา 
โปโนพภะวิกา 
อันเป็นเครื่องทำให้เกิดภพ ทำให้มีการเกิดอีก 
นันทิราคะ สะหะคะตา 
อันประกอบอยู่ด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน 
ตัตระ ตัตราภินันทินี 
เป็นเครื่องทำให้เพลินอย่างยิ่งในอารมณ์นั้น ๆ 
เสยยะถีทัง 
ได้แก่ตัณหาเหล่านี้ คือ 
กามะตัณหา 
ตัณหาในกาม 
ภะวะตัณหา 
ตัณหาในความมีความเป็น 
วิภะวะตัณหา 
ตัณหาในความไม่มี ไม่เป็น 
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อริยสัจคือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์นี้มีอยู่ 
โย ตัสสาเยวะ ตัณหายะ อะเสสะวิราคะนิโรโธ 
นี้คือความดับสนิทเพราะจางไปโดยไม่มีเหลือของตัณหานั้น 
จาโค 
เป็นความสลัดทิ้ง 
ปะฏินิสสัคโค 
เป็นความสลัดคืน 
มุตติ 
เป็นความปล่อย 
อะนาละโย 
ทำให้ไม่มีที่อาศัยซึ่งตัณหานั้น 
อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อริยสัจคือข้อปฏิบัติที่ทำให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์นี้มีอยู่ 
อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค 
คือข้อปฏิบัติอันเป็นหนทางอันประเสริฐ ประกอบด้วยองค์แปดประการ 
เสยยะถีทัง 
ได้แก่สิ่งเหล่านี้ 
สัมมาทิฎฐิ 
ความแห็นชอบ 
สัมมาสังกัปโป 
ความดำริชอบ 
สัมมาวาจา 
พูดจาชอบ 
สัมมากัมมันโต 
ทำงานชอบ 
สัมมาอาชีโว 
เลี้ยงชีพชอบ 
สัมมาวายาโม 
พากเพียรชอบ 
สัมมาสติ 
ระลึกชอบ 
สัมมาสมาธิ 
ตั้งใจชอบ 
อิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ญาณเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา วิชชาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมที่เราไม่เคยฟังมาแต่ก่อน ว่าอริยสัจคือทุกข์ เป็นอย่างนี้ ดังนี้ 
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญญาตัพพันติ 
ว่าอริยสัจคือทุกข์นั้นแล เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้ดังนี้ 
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญญาตันติ 
ว่าอริยสัจคือทุกข์นั้นแล เรากำหนดรู้ได้แล้วดังนี้ 
อิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ญาณเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา วิชชาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมที่เราไม่เคยฟังมาแต่ก่อน ว่าอริยสัจคือเหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างนี้ ดังนี้ 
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหาตัพพันติ 
ว่าอริยสัจคือเหตุให้เกิดทุกข์นั้นแลเป็นสิ่งที่ควรละเสียดังนี้ 
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหีนันติ 
ว่าอริยสัจคือเหตุให้เกิดทุกข์นั้นแลเราละได้แล้วดังนี้ 
อิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ญาณเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา วิชชาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมที่เราไม่เคยฟังมาแต่ก่อน ว่าอริยสัจคือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เป็นอย่างนี้ ดังนี้ 
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกาตัพพันติ 
ว่าอริยสัจคือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์นั้นแลเป็นสิ่งที่ควรทำให้แจ้งดังนี้ 
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกะตันติ 
ว่าอริยสัจคือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์นั้นแลเป็นสิ่งที่เราทำให้แจ้งได้แล้วดังนี้ 
อิทัง ทุกขะนิโรธเคามินีปะฏิปะทา อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ญาณเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา วิชชาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมที่เราไม่เคยฟังมาแต่ก่อน ว่าอริยสัจคือข้อปฏิบัติที่ทำให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เป็นอย่างนี้ ดังนี้ 
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินีปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาเวตัพพันติ 
ว่าอริยสัจคือข้อปฏิบัติที่ทำให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์นั้นแลเป็นสิ่งที่ควรทำให้เกิดทำให้มีดังนี้ 
ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินีปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาวิตันติ 
ว่าอริยสัจคือข้อปฏิบัติที่ทำให้ลุถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์นั้นแลเป็นสิ่งที่เราทำให้เกิดทำให้มีแล้วดังนี้ 
ยาวะกีวัญจะ เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติ ปะริวัฏฏัง ทวาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง นะ สุวิสุทธัง อะโหสิ 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัญญาเครื่องรู้เห็นตามที่เป็นจริง มีปริวัฏฏ์สาม มีอาการสิบสอง เช่นนั้น ในอริยสัจทั้งสี่เหล่านี้ ยังไม่เป็นของบริสุทธิ์หมดจดด้วยดีแก่เราอยู่เพียงใด 
เนวะ ตาวาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพรหมะเก สัสสะมะณะพรหมมะณิยาปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตลอดกาลนั้นเรายังไม่ปฏิญญาว่าได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้วซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก เทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ สมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ 
ยะโต จะ โข เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ เอวันติ ปะริวัฏฏัง ทวาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง สุวิสุทธัง อะโหสิ 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดปัญญาเครื่องรู้เห็นตามที่เป็นจริง มีปริวัฏฏ์สาม มีอาการสิบสอง เช่นนั้น ในอริยสัจทั้งสี่เหล่านี้ เป็นของบริสุทธิ์หมดจดด้วยดีแก่เรา 
อะถาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพรหมะเก สัสสะมะณะพราหมะณิยา ปะชายะ สะเทวะ มะนุสสายะ อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อนั้นเราปฏิญญาว่าได้ได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้วซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก เทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ สมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ 
ญาณัญจะ ปะนะ เม ภิกขะเว ทัสสะนัง อุทะปาทิ 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ญาณและทัศนะได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา 
อะกุปปา เม วิมุตติ 
ว่าความหลุดพ้นของเราไม่กลับกำเริบ 
อะยะมันติมา ชาติ 
ความเกิดนี้เป็นความเกิดครั้งสุดท้าย 
นัตถิทานิ ปุนัพภะโวติ 
ความเกิดอีกย่อมไม่มี ดังนี้


ธัมจักรกัปปวัตนสูตร หรือ ปัจจวัคคีย์สูตร